นครศรีธรรมราชเป็นชุมชนโบราณที่มี หลักฐานปรากฏการตั้งถิ่นฐานของพราหมณ์มานานนับพันปี ภาชนะเครื่องใช้ในการดำรงชีวิตที่ค้นพบ เช่น เครื่องมือหินใช้ในการดำรงชีวิต สะท้อนพัฒนาการอันต่อเนื่องมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงสมัยประวัติ ศาสตร์ที่มนุษย์เรียนรู้ที่จะพัฒนาตัวอักษรขึ้นมาใช้ในการสื่อสาร
นครศรีธรรมราชในสมัยประวัติศาสตร์ถือเป็นชุมชนค้าขายทางทะเลที่สำคัญ ซึ่งผลจากการติดต่อค้าขายทำให้อิทธิพลทางศาสนาและวิทยาการจากอินเดีย จนกลายเป็นดินแดนที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางด้านศาสนาทั้งศาสนา พราหมณ์ ฮินดู และศาสนาพุทธ ดังปรากฏว่ามีการค้นพบหลักฐานต่างๆทั้งที่เป็นโบราณสถานและโบราณวัตถุ เช่นเทวสถาน พระพุทธรูป เทวรูปพระนารายณ์ ศิวลึงค์ พระพิฆเนศ ปรากฏทั่วไปในนครศรีธรรมราช
อาจกล่าวได้ว่าความเชื่อในศาสนาพราหมณ์เจริญควบคู่ไปกับการตั้งถิ่นฐานของเมือง นครศรีธรรมราช และการเข้ามาของศาสนาพราหมณ์ทำให้ดินแดนแห่งนี้กลายเป็น "ศูนย์กลางวัฒนธรรมอินเดียในคาบสมุทรภาคใต้"
*กำเนิดพราหมณ์
ศาสนา พราหมณ์มีกำเนิดในประเทศอินเดีย ยุคพระเวท (ประมาณ 1,500-900 ปีก่อนคริสตกาล) แพร่เข้ามาทางภาคใต้ของไทย ราวพุทธศตวรรษที่ 10 โดยอาศัยพราหมณ์ (ฮินดู) ส่วนหนึ่งเดินทางโดยเรือข้ามมหาสมุทรอินเดียมาขึ้นฝั่งทางภาคใต้ฝั่งตะวันตก แล้วเดินทางบกข้ามเขามายังนครศรีธรรมราช ส่วนหนึ่งข้ามช่องแคบมะละกาสู่อ่าวไทย มาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่อำเภอสิชล อำเภอท่าศาลา และอำเภอเมืองนครศรีธรรมราชปัจจุบัน
สันนิษฐานว่า พราหมณ์รุ่นแรกที่เข้ามาน่าจะเป็นพราหมณ์ "ไศวนิกาย" นับถือพระศิวะ(พระอิศวร)เป็นเทพสูงสุด ต่อมาในพุทธศตวรรษที่ 12 พบหลักฐานสัมพันธ์ลัทธิ ไวษณพนิกาย นับถือพระวิษณุ(พระนารายณ์)เป็นเทพสูงสุดเริ่มแผ่อิทธิพลเข้ามา
สมัยก่อนพราหมณ์ได้รับการยอมรับจากเจ้าผู้ครองนคร ในฐานะผู้รู้พระเวทและพิธีกรรม รวมทั้งภาษาสันสกฤตและอักษรปัลลวะที่ใช้ในการสื่อสาร ดังนั้นจึงอยู่ในฐานะนักวิชาการที่สำคัญของเมือง กระทั่งถึงพุทธศตวรรษที่ 18 พุทธศาสนา นิกายเถรวาท ลัทธิลังกาวงศ์ได้แผ่เข้ามาทำให้อิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ลดลง จนปัจจุบันแทบไม่มีศาสนิกชนของพราหมณ์อยู่ในเมือง
*"เขาคา" ศูนย์กลางจักรวาลแบบย่อส่วน
โบราณสถานเขาคา ตั้งอยู่บนภูเขาลูกเล็ก บริเวณตำบลสำเภา อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีสภาพภูมิศาสตร์เป็นแนวเทือกเขาเรียกว่าเขานครศรีธรรมราช และยังเป็นต้นน้ำของคลองหลายสาย ตอนกลางเป็นที่ราบมีการทับถมของตะกอนแม่น้ำเหมาะกับการก่อตั้งชุมชน ทำการเกษตรกรรมและใช้น้ำเป็นเส้นทางคมนาคม ดังนั้นสันนิษฐานว่าบริเวณนี้น่าจะมีการตั้งถิ่นฐานอาศัยมาตั้งแต่สมัยก่อน ประวัติศาสตร์ยุคหินใหม่ จนเข้าสู่สมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ซึ่งเริ่มติดต่อค้าขายกับชาวอินเดียตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 10 เป็นต้นมา
การติดต่อค้าขายทางทะเลกับชาวอินเดียทำให้ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรม คติความเชื่อทางศาสนาจากพ่อค้าและนักบวช(พราหมณ์) ชาวอินเดีย ราวพุทธศตวรรษ 12-14 เป็นยุคเฟื่องฟูของศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกาย มีการตั้งเทวาลัยจำนวนมากทั้งพื้นราบและบนเนินเขา ขณะที่ศาสนาสถานแบบพุทธนิยมก่อตั้งบนพื้นราบ จากการขุดค้นทางโบราณคดีที่ผ่านมา พบว่าบริเวณพื้นที่เขตอำเภอสิชลปรากฏการตั้งเทวสถานในศาสนาพราหมณ์หนาแน่น มากกว่า40 แห่ง โดยมี "โบราณสถานเขาคา" เป็นศูนย์กลางจักรวาลบนโลกมนุษย์ ตามคติความเชื่อของศาสนาพราหมณ์
เขาคา ประกอบด้วยยอดเขา 2 ยอด โดยมีศาสนสถานก่อตั้งตามคติความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ ลัทธิไศวนิกายนับถือพระศิวะเป็นเทพเจ้าสูงสุด ตั้งเรียงรายตามสันเขา เปรียบเขาคาดั่งเขาพระสุเมรุที่ประทับของเทพเจ้าสูงสุดเสมือนเทวาลัยแห่งพระศิวบนยอดเขา ประดิษฐานศิวลึงค์ตามคัมภีร์ศิวปุราณะ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระผู้เป็นเจ้าอันยิ่งใหญ่ โดยมีลำน้ำหรือคลองท่าทนไหลผ่านเขาคาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือและทิศเหนือ สมมติเป็นแม่น้ำคงคาตามความเชื่อทางศาสนา
นอกจากปรากฏหลักฐานมีความสัมพันธ์กับลัทธิไวษณพนิกาย เช่น พระวิษณุศิลากลุ่มศาสนสถานศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ใช้สำหรับประกอบพิธีกรรม สำคัญทางศาสนา และเป็นที่พำนักของพราหมณ์ผู้ประกอบพิธี
ล่วงมานับพันปี วันนี้ความรุ่งเรืองดังกล่าวเหลือเพียงซากปรักหักพัง
พงศ์ธันว์ สำเภาเงิน นักโบราณคดี สำนักงานศิลปากร 14 นครศรีธรรมราช กล่าวว่า โบราณสถานเขาคาแห่งนี้ปรากฏร่องรอยศาสนาพราหมณ์ชัดเจน ค้นพบศาสนสถานใกล้ๆกันหลายหลัง กำหนดอายุได้ตั้งแต่พุทธศตวรรษ 12เป็นต้นมา โดยชื่อที่มาของ "เขาคา" มีการสันนิษฐานหลากหลาย บ้างก็ว่าเพี้ยนมาจากเขาของข้า บ้างก็ว่าสมัยก่อนบริเวณนี้มีหญ้าคาขึ้นอยู่ทั่วไป
จากการขุดแต่งและบูรณะโดยหน่วยศิลปากรที่ 8 นครศรีธรรมราช ปี 2530 พบชิ้นส่วนสถาปัตยกรรม เช่น ธรณีประตู กรอบประตู ฐานเสา นอกจากนี้ยังพบโบราณวัตถุ ได้แก่ รูปเคารพ ฐานโยนิ ศิวลึงค์
แต่เดิม เส้นทางขึ้นเขาคาอยู่ทางทิศตะวันตกใกล้กับคลองท่าทน ปัจจุบันทางขึ้นตั้งอยู่ทางทิศใต้ ถูกสร้างขึ้นใหม่เป็นขั้นบันไดค่อยๆลาดชันขึ้นไปสู่โบราณสถาน เริ่มจาก โบราณสถานหมายเลข 1 เป็นอาคารผังสี่เหลี่ยมผืนผ้า ก่ออิฐเรียงตัวสูงจากพื้นดิน ภายในมีฐานโยนิตั้งอยู่ พร้อมกับชิ้นส่วนของหินธรณีประตู และฐานเสากระจัดกระจาย
พบแอ่งขนาดใหญ่รกด้วยต้นหญ้าและพรรณไม้ปกคลุม เจ้าหน้าที่โบราณคดีอธิบายว่าเป็นสระน้ำสร้างขึ้นโดยการปรับสภาพภูมิประเทศ ที่เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำระหว่างเนินเขา มีการนำก้อนหินขนาดต่างๆมากั้นเป็นผนังขอบสระป้องกันการพังทลายของดิน ใช้บริโภคและประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
โบราณสถานหมายเลข 2 เป็นอาคารหลังใหญ่สุดและถือเป็นอาคารหลักสำคัญที่สุดในบรรดาเทวาลัยบนเขาคาสันนิษฐานว่าเป็นเทวาลัยประธาน วิมานที่ประทับของพระศิวเทพเจ้า
ลักษณะอาคารเป็นผังสี่เหลี่ยมจัตุรัส รายรอบด้วยกำแพงแก้ว ลานประทักษิณ ตัวอาคารมีฐานบันไดเพียงไม่กี่ขั้น ก็ก้าวถึงธรณีประตูเข้าขึ้นไปยืนภายในศาสนสถานอันว่างเปล่า มีเพียงชิ้นส่วนแตกหักของกรอบ
ประตู ตรงกลางศาสนสถานตั้งฐานโยนีลักษณะคล้ายฐานบัว มีฐานเขียง ลวดบัว ส่วนท้องไม้แกะเป็นช่องคล้ายฐานเสาประดับอาคาร ส่วนบนของฐานโยนีเจาะเป็นรูรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสตรงกลาง ด้านหน้ามีรางยื่นออกมา นอกจากนี้ยังค้นพบโบราณวัตถุรายรอบศาสนถานได้แก่ ฐานเสามีลักษณะเป็นแผ่นหินกลมมน เจาะรูตรงกลางเป็นรูปสี่เหลี่ยมบางแผ่นมีลักษณะเป็นวงกลมซ้อนกัน 2 ชั้น ตรงกลางเจาะรูเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสสำหรับสวมเสาไม้ ฐานเสา รางน้ำลักษณะเป็นแท่งหินปูนเซาะร่องตรงกลางสำหรับทางน้ำไหลผ่านได้ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นรางระบายน้ำจากพื้นอาคารลงสู่ไหล่เขา
จากโบราณสถานหมายเลข 2 ระหว่างทางเดินไปยังโบราณสถานลำดับต่อไปผ่านต้นไม้สูงชะลูด เจ้าหน้าที่โบราณคดีชี้ชวนให้ดูทางลาดลงจากเขา ปรากฏต้นไม้เล็กๆขึ้นเต็มไปหมด สันนิษฐานว่าน่าจะเป็น "ทางเดิน" ขึ้น-ลง ศาสนสถานในสมัยโบราณ
ปลายสุดของยอดเขาทางทิศใต้เป็นที่ตั้งของโบราณสถานหมายเลข 4 ท่ามกลางต้นไม้หนาตา ดอกไม้ป่าสีสันสดใส มีอาคารผังสี่เหลี่ยมผืนผ้า ลักษณะการก่อสร้างนำเศษหินมาก่อเรียงยกพื้น ภายในปรากฏก้อนหินขนาดใหญ่ลักษณะคล้ายลึงค์ สันนิษฐานว่าอาจหมายถึง สวยัมภูลึงค์ หรือ ศิวลึงค์ที่เกิดขึ้นเอง
ศิวลึงค์ของศาสนาพราหมณ์ในนครศรีธรรมราชรุ่นแรกๆมักติดกับฐานโยนี เวลาทำพิธีกรรมกระทำโดยการรดน้ำลงไปบนโบราณวัตถุดังกล่าว ซึ่งตามความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ถือว่า น้ำที่ไหลลงมานั้นเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ นิยมนำมาดื่มและอาบ ศิวลึงค์รุ่นต่อๆมา ประกอบด้วย 3 ส่วน แต่ละส่วนมักไม่เท่ากัน
ศิวลึงค์ แบบสมบูรณ์ประกอบด้วย 3 ส่วน ส่วนล่างสุดเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส หมายถึง พรหมภาค คือ ภาคของพระพรหม ส่วนกลางออกแบบเป็นแปดเหลี่ยมเรียกว่า วิษณุภาค คือ ภาคของพระวิษณุ และส่วนยอดบนสุดมีลักษณะทรงกลมมน เรียกว่า รุทรภาค คือภาคของพระอิศวร ทั้ง 3 ภาครวมเป็นภาคเดียวกันเรียกว่า ตรีมูรติ
*ศาสนสถาน "พราหมณ์" ในเมืองนคร
ในบริเวณตัวเมืองเก่านครศรีธรรมราชก็มีศาสนสถานพราหมณ์หลายแห่ง เป็นต้นว่า อาคารก่ออิฐถือปูน หลังคาไม้มุงกระเบื้องดินเผา ด้านหน้าเป็นรูปจั่ว เป็นศาสนสถานในศาสนพราหมณ์ลัทธิไวษณพนิกาย บูชาพระนารายณ์ ตั้งอยู่ในตัวเมืองนครฯ เรียกว่า "หอพระนารายณ์" เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมและประดิษฐานเทวรูป พระนารายณ์ ภายในประดิษฐานเทวรูปพระนารายณ์ ทำด้วยหินทรายสีเทา สวมหมวกทรงกระบอกปลายสอบ พระหัตถ์ซ้ายทรงสังข์ปัจจุบันยังคงเปิดให้ประชาชนเข้าไปกราบไหว้บูชา
ตรงกันข้ามเป็นที่ตั้งของ "หอพระอิศวร" โบราณสถานในศาสนาพราหมณ์ ลัทธิไศวนิกาย บูชาพระอิศวรหรือพระศิวะ สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานศิวลึงค์ สัญลักษณ์ขององค์พระอิศวร นอกจากนี้ภายในยังประดิษฐานเทวรูปสำริดอื่นๆ เช่น พระอุมา พระคเณศ ทว่าปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช
พิธีกรรมสำคัญของพราหมณ์ในนครศรีธรรมราชโบราณ คือ พิธีตรียัมปวายและตรีปวาย พิธีตรียัมปวายเป็นพิธีรับพระศิวะ(หรือพระอิศวร) ในช่วงปีใหม่ (คือวันขึ้น 7 ค่ำถึงแรมค่ำเดือนอ้าย)ด้วยการโล้ชิงช้า ส่วนพิธีตรีปวายเป็นพิธีรับพระวิษณุ หรือพระนารายณ์ ช่วงปีใหม่ต่อจากพิธีรับพระศิวะ(คือวันแรมค่ำถึงวันแรมห้าค่ำเดือนอ้าย) ปัจจุบันพิธีโล้ชิงช้า(ในพิธีตรียัมปวาย)ถูกยกเลิกไปเมื่อพ.ศ.2468 (ที่ยังพอมีอยู่บ้างเป็นบางปี คือพิธีแห่นางกระดาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพิธีโล้ชิงช้า)
แม้ว่าร่องรอยความรุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์ปรากฏเพียงซากปรักหักพังของศาสน สถาน และโบราณวัตถุที่ขุดค้นพบและทำการสืบสาวประวัติความเป็นมาอันยาวนาน อย่างไรก็ตามปัจจุบันยังคงหลงเหลือกลิ่นอายความเชื่อและพิธีกรรมที่มีความ สัมพันธ์กับศาสนาพราหมณ์
"เดี๋ยวนี้ยังมีคนนับถือพราหมณ์เข้าไปกราบไหว้ศิวลึงค์ในฐานพระสยม เทวสถานศาสนาพราหมณ์ในตัวเมืองนครฯ" พงศ์ธันว์ แสดงความเห็นทิ้งท้ายว่า...
เป็น วัตถุทรงกลม มีตัวอักษร กล่าวกันว่าพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชสร้างไว้สำหรับประกอบพิธีกรรมของพราหมณ์ โดยอัญเชิญเทพเจ้าทั้งสามเช่นเดียวกับ "หัวนะโม" เครื่องรางของขลังคู่เมืองนครศรีธรรมราช ลักษณะคือ พระศิวะ พระวิษณุ และพระพรหม มาสถิตในหัวนะโม เพื่อเอาไปฝังหว่านรอบเมืองนครศรีธรรมราช ป้องกันโรคห่าระบาด ปัจจุบันยังคงเป็นวัตถุมงคลที่ได้รับความนิยมทั้งจากคนในท้องถิ่นและคนต่าง ถิ่นที่มาเยือน
****************
รอยพราหมณ์ที่ "เขาศรีวิชัย"
จาก เนินทางขึ้นไม่ค่อยลาดชันมากนัก เดินทางมาถึง เนินโบราณสถาน "เขาศรีวิชัย" เรียกตามชื่อวัดเขาศรีวิชัย บ้างก็ว่าเดิมชื่อวัดหัวเขาบน ต่อมาเปลี่ยนเป็นวัดเขาศรีวิชัย หรือเรียกอีกชื่อว่า "เขาพระนารายณ์" ตามการค้นพบเทวรูปพระนารายณ์บนยอดเขาถึง 4 องค์ด้วยกัน ตั้งอยู่ตำบลศรีวิชัย อำเภอพุนพิน สุราษฎร์ธานีสันนิษฐานว่าเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของเมืองโบราณขนาดใหญ่ อายุตั้งแต่พุทธศตวรรษ 12-13
พงศ์ธันว์ อธิบายว่าเนินโบราณสถานมีทั้งหมด 8 แห่ง โดยลักษณะเนินโบราณสถานหมายเลข 1 เป็นอาคารอิฐ ผังสี่เหลี่ยมผืนผ้า ภายในเป็นดินทรายบดอัดเป็นแกนข้างใน ทางเข้าตั้งอยู่ทางทิศเหนือ พบฐานเสาสลักจากหินสำหรับรองรับเสาไม้ สันนิษฐานว่าตัวอาคารอาจเป็นเครื่องไม้ยกพื้นสูง มีหลังคากระเบื้องดินเผาหรือแฝกปกคลุม ผนังข้างนอกเป็นอิฐไม่ก่อเต็ม นอกจากนี้พบว่า มีการก่ออิฐรอบล้อมศาสนสถานจากการขุดแต่งสันนิษฐานว่าซากอาคารก่ออิฐฐานสูง น่าจะเป็นเทวาลัยประดิษฐานเทวรูปพระวิษณุ
ลักษณะของสถาปัตยกรรมโบราณในเขาพระนารายณ์หลงเหลือหลักฐานเพียงเล็กน้อย "เริ่มขุดแต่งมาตั้งแต่ปี 2542สภาพหลังขุดแต่งเหลือหลักฐานค่อนข้างน้อย จึงไม่สามารถทราบรูปทรงรูปแบบอาคารได้ชัดเจน แต่สันนิษฐานว่าเป็นอาคารเครื่องไม้ มีอายุราวพุทธศตวรรษ 12-13 พอจะบอกได้ว่าเป็นกลุ่มศาสนสถานหลายหลัง แต่หลังใดเป็นองค์ประธานยังกำหนดไม่ได้"
ลักษณะของสถาปัตยกรรมในโบราณสถานหมายเลข 2 ,4,5 มีลักษณะคล้ายกับหมายเลข 1 อย่างไรก็ตามลักษณะของหมายเลข 4-5 เป็นอาคารหลังใหญ่ ส่วนอาคารหมายเลข 6 เป็นอาคารก่ออิฐ ผังสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุมเป็นกากบาท หน้ากระดานลวดบัว แสดงถึงการรับอิทธิพลจากอินเดีย เช่นเดียวกับอาคาร 8 มีรูปแบบคล้ายอาคารในศาสนสถานในอินเดีย ที่อาคารหมายเลข 4 พบเทวรูปพระนารายณ์ ปัจจุบันนำไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ พระนคร
"การเรียงอิฐพบได้ทั่วไปในอินเดีย ลักษณะการก่อสร้างทับซ้อนแสดงถึงการใช้งานอย่างต่อเนื่อง"
ผลการตกแต่งพบโบราณวัตถุที่มีความสัมพันธ์กับพุทธศาสนาและพราหมณ์ เช่น เทวรูปพระนารายณ์จำนวน 4 องค์ โดยองค์สำคัญจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์พระนคร ฐานเคารพ ศิวลึงค์ พระพิมพ์เม็ดกระดุม ชิ้นส่วนธรรมจักร นอกจากนี้ยังค้นพบลูกปัดแก้วสีต่างๆ ด้วยเหตุนี้ทำให้ชาวบ้านลักลอบเข้ามาขุดหาลูกปัดกันจนผิวดินเป็นหลุมเป็นบ่อ กระทั่งปัจจุบันยังมีโอกาสได้พบเป็นหลุมที่ชาวบ้านมาขุดหาลูกปัดเป็นรูทิ้ง ไว้
"บางช่วงเป็นศาสนาพราหมณ์ แต่ก็ค้นพบชิ้นส่วนธรรมจักร พระพุทธรูป ดังนั้นบางช่วงพุทธศาสนาน่าจะมีส่วนสำคัญ วัยรุ่น เด็กนักเรียนเข้ามาขุดหาลูกปัด ไม่มีเจ้าหน้าที่เข้ามาเฝ้า มีเพียงชาวบ้านช่วยเป็นหูเป็นตา"
ต้นกำเนิดตามพรลิงค์
คำว่า “ตามพรลิงค์” ปรากฏอย่างชัดเจนที่สุดในศิลาจารึกหลักที่ 24 พบที่วัดเวียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี จารึกด้วยอักษรขอม ภาษาสันสกฤต ปรากฏคำว่า “ ตามพรลิงเคศวระ ” กับ “ ตามพรลิงเคศวร ” มีทั้งสิ้น 2 คำ และมีความหมายเดียวกันคือเป็นชื่อสถานที่หมายถึงเมือง เพราะในรูปประโยคแปลได้ความว่า “พระเจ้าผู้ครองเมืองตามพรลิงค์” หรือ “พระผู้เป็นใหญ่ในตามพรลิงค์” พระ ผู้เป็นใหญ่ในเมืองตามพรลิงค์ในจารึกหลักที่ 24 มีพระนามว่า พระเจ้าจันทรภาณุ ทรงเป็นพระธรรมราชาผู้ทรงศิริ มีราชนิติเทียบเท่าพระเจ้าธรรมาโศก ทรงเป็นผู้ใหญ่ยิ่งเหนือราชวงศ์ทั้งหมด ทรงปกครองปัทมวงศ์ ทรงพระราชสมภพเพื่อยังประชาชนที่ถูกชนชาติต่ำปกครองมาแล้วให้สว่าง รุ่งเรือง เป็นบุญของมนุษย์ที่มีพระราชาองค์นี้ ในจารึกระบุปีศักราชตรงกับ พ.ศ. 1773
ชื่อเมืองตามพรลิงค์นี้ไปพ้องกับชื่อ ตันหม่าหลิง ในหนังสือจูฟานฉี ของนายด่านศุลกากรชาวจีนชื่อ เจาจูกัว เขียนเมื่อ พ.ศ. 1768 ดังนั้นชื่อตันหม่าหลิง จึงน่าจะมาจากเมืองตามพรลิงค์ค่อนข้างแน่นอน แต่ชื่ออื่นๆในภาษาจีนก่อนหน้านี้ ได้แก่ เต็งหลิวเหมย ตันเหมยหลิว และจูเหมยหลิว ยังไม่อาจสรุปได้ชัดว่าเป็นชื่อเดียวกับตามพรลิงค์หรือไม่ เพราะในรายละเอียดการบรรยายสภาพบ้านเมือง สามารถตีความได้หลากหลายโดยอาจเป็นเมืองอื่นๆบริเวณรอบอ่าวไทยแถบจังหวัด ราชบุรีก็ได้ เพราะมีการกล่าวถึงภูเขาที่เป็นสัญลักษณ์ในพุทธศาสนา ซึ่งที่จังหวัดราชบุรีมีถ้ำต่างๆที่แกะสลักพระพุทธรูปศิลปะทวารวดีติดผนัง ถ้ำ เช่น ถ้ำในเทือกเขางู เป็นหลักฐานที่แสดงถึงความเป็นบ้านเมืองที่นับถือพุทธศาสนาตามที่ปรากฏใน บันทึกของจีน จึงมีนักวิชาการท่านอื่นๆตีความว่า เต็งหลิวเหมย อาจเป็นบ้านเมืองในภาคกลางก็ได้ ไม่เฉพาะเจาะจงว่าเต็งหลิวเหมยจะเป็นชื่อเดียวกับตันหม่าหลิง
ในหนังสือประวัติศาสตร์เมืองนครศรีธรรมราชหลายเล่ม โยงใยคำว่าตามพรลิงค์กับชื่อสถานที่ที่ปรากฏในคัมภีร์มหานิทเทศ ติสสเมตเตยยสูตร ซึ่งเป็นวรรณคดีอินเดียโบราณ แต่งด้วยภาษาบาลี เข้าใจว่าน่าจะเขียนขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 8 กล่าวถึงการเดินทางของนักเผชิญโชคเพื่อแสวงหาโชคลาภ ความร่ำรวยในดินแดนต่างๆ ชื่อเมืองที่ปรากฏในคัมภีร์มหานิทเทศน่าจะเป็นเมืองท่าในภูมิภาคต่างๆที่ อยู่บนเส้นทางการค้าและการเดินเรือ ได้แก่ เมืองท่าในอินเดีย เมืองอเล็กซานเดรียในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ศรีลังกา พม่า ชวา และคาบสมุทรมลายู ในจำนวนเมืองท่าเหล่านี้มีอยู่เมืองหนึ่งชื่อ “กะมะลิงหรือตมะลิง” บ้างก็ออกเสียงเป็น “ กมะลีหรือตมะลี” (Tamali)
เมืองท่ากะมะลิงหรือตมะลิงนี้ นักปราชญ์ทางโบราณคดีเคยเสนอว่า ถ้านำคำว่า “ ตมะลิง ” ไปบวกกับคำว่า “ คม ” จะกลายเป็น “ ตมลิงคม ” หรือ “ ตมพลิงคม ” ซึ่งต่อมามีผู้นำชื่อ “ ตมพลิงคม ” ไปอ้างต่อว่าเป็นหลักฐานชั้นต้นที่ปรากฏในคัมภีร์มหานิทเทศ จึงมีผู้ตีความต่อๆกันมาเป็นลูกโซ่ว่า ชื่อเมืองตมพลิงคม อันหมายถึงเมืองตามพรลิงค์นั้นมีมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 8
การตีความดังกล่าวนี้แม้ว่าพอจะมีเค้าอยู่บ้าง แต่ก็มิได้หมายความว่าเมืองท่ากะมะลิงเป็นเมืองที่มีอำนาจปกครองเมืองอื่นๆ เหมือนกับเมืองตามพรลิงค์ในจารึกพระเจ้าจันทรภาณุ เมื่อพุทธศตวรรษที่ 18 ข้าพเจ้าอยากให้นักศึกษาประวัติศาสตร์มองบ้านเมืองในภูมิภาคนี้เชิง วิวัฒนาการ โดยระมัดระวังที่จะไม่ใช้คำว่า อาณาจักร ( Kingdom ) ในกรอบความคิดของนักวิชาการชาวตะวันตกเป็นเกณฑ์ เช่น การกล่าวถึงขอบเขตของอาณาจักร หรือการกล่าวถึงอาณาจักรในยุคต้นจนถึงยุคอวสานของอาณาจักร เป็นต้น เพราะสภาพการเมือง การปกครองของเมืองโบราณในภูมิภาคนี้มีลักษณะเป็นแว่นแคว้นน้อยใหญ่ที่มี อิสระในการปกครองตนเอง เมืองๆหนึ่งไม่จำเป็นต้องมีพื้นที่ใหญ่โตมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาก่อนพุทธศตวรรษที่ 14 หากพิจารณาโดยอาศัยหลักฐานความก้าวหน้าของการศึกษาวิชาโบราณคดีในพื้นที่คาบ สมุทรภาคใต้ จะเห็นบ้านเมืองใหญ่น้อยที่ตั้งอยู่แถบอ่าวบ้านดอน สันทรายนครศรีธรรมราช คาบสมุทรสทิงพระ และที่ราบลุ่มแม่น้ำปัตตานี โดยเห็นการสถาปนาอำนาจของผู้ปกครองและเห็นลักษณะความแตกต่างของวัฒนธรรมค่อน ข้างหลากหลาย
สำหรับเมืองท่ากะมะลิงในคัมภีร์มหานิทเทศ แม้นักประวัติศาสตร์จะสรุปตรงกันว่าอยู่ในเขตพื้นที่ของจังหวัดนครศรี ธรรมราชในปัจจุบัน แต่ถ้าให้ชี้ลงไปในจุดเล็กๆบนแผนที่ว่า เมืองกะมะลิงเมืองท่าในพุทธศตวรรษที่ 8 ตั้งอยู่ที่ตำบล อำเภอใดของนครศรีธรรมราช ข้าพเจ้าคิดว่าหลายท่านคงเกิดอาการลังเลอยู่บ้างไม่มากก็น้อย แต่ละท่านอาจจะชี้กันไปคนละทิศเลยก็เป็นได้
ก่อนที่เราจะวิเคราะห์ว่าเมืองท่ากะมะลิงอยู่ที่ไหน เราลองมาดูความหมายของคำว่า “ตามพรลิงค์” กันก่อน เผื่อจะได้แนวคิด(Idea)ดีๆไปตอบโจทย์เรื่องกะมะลิง ศาสตราจารย์แสง มนวิทูร ผู้เชี่ยวชาญการอ่านจารึก (ท่านเป็นผู้อ่านจารึกหลักที่ 24 ภายหลังจากที่ศาสตราจารย์เซเดส์เคยอ่านมาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง)อธิบายว่า ตามพรลิงค์ คือ ตเมพ แปลว่า ทองแดง ลิงค์ คือพระอิศวรหรือสัญลักษณ์ของพระอิศวร พอแปลความรวมกันก็มีการตีความหมายไปหลากหลาย แต่ส่วนใหญ่ก็แปลว่า “ลิงค์ทองแดง” พร้อมทั้งอธิบายว่าเหตุที่เรียกว่าตามพรลิงค์ เพราะว่าศาสนาพราหมณ์เจริญรุ่งเรืองมาก หลักฐานโบราณวัตถุ โบราณสถานในเมืองนครศรีธรรมราชก่อนพุทธศตวรรษที่ 14-15 กว่าร้อยละ 80-90 ล้วนเป็นเรื่องของศาสนาพราหมณ์ทั้งสิ้น
ถ้า ใช้คำว่า “ตามพรลิงค์” เป็นเสมือนลายแทง ผู้วิเคราะห์ลายแทงก็ตามมาถูกทางแล้ว เพียงแต่ยังลังเลเมื่อเข้าใกล้จุดที่เป็นกรุสมบัติ บางท่านก็ได้เห็นกรุสมบัติแล้วแต่ยังไม่รู้สึกตัวว่าพบตามพรลิงค์ ด้วยมีเส้นผมบังภูเขาลูกเบ้อเริ่มปิดตาไว้ ปริศนาการแปลความหมายของคำว่าตามพรลิงค์ไปผูกพันอยู่กับคำว่า ลิงค์ทองแดงมากจนเกินไป จึงเกิดความสับสนว่าตรงไหนที่มีลิงค์ทำจากทองแดง หรือบางท่านก็ว่ามีการนำดินสีแดงไปพอกทาศิวลึงค์ให้กลายเป็นสีแดง บางท่านก็ตีความว่าหมายถึงแผ่นดินที่มีดินเป็นสีแดง
หากวิเคราะห์คำว่าตามพรลิงค์ใหม่อีกครั้ง สิ่งที่ปรากฏในคำว่าตามพรลิงค์ ที่สำคัญคือคำว่า “ลิงค์” (ลิงค-Linga เป็นภาษาสันสกฤต) ในภาษาไทยเรียกว่า “ลึงค์” และคนไทยก็นิยมเรียกลิงค์ของฮินดูว่า “ศิวลึงค์” ในประเทศ อินเดียไม่นิยมเรียก ลิงค์ ว่า ศิวลิงค์ แต่เรียกว่า ลิงค์ เพียงคำเดียว ซึ่งความหมายของคำว่าลิงค์ ในทางศาสนาก็ไม่มีใครคิดว่ามันคือ อวัยวะสืบพันธุ์ผู้ชายทั่วไป แต่ลิงค์หมายถึงพระศิวะ เมื่อหมายถึงพระศิวะก็ไม่จำเป็นต้องใส่ชื่อเจ้าของหรือเติมคำว่า “ศิวะ” นำหน้าคำว่า “ลิงค์”อีก เพราะมีเทพเพียงองค์เดียวเท่านั้นที่ปรากฏเป็นลิงค์ ลิงค์จึงหมายถึงพระศิวะ นายคงเดช ประพัฒน์ทอง นักโบราณคดีอาวุโสผู้ล่วงลับไปเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เรียกพื้นที่ในเขตอำเภอสิชล และอำเภอท่าศาลา อันเป็นบริเวณที่พบหลักฐานโบราณวัตถุ โบราณสถานเนื่องในศาสนาพราหมณ์หนาแน่นที่สุดของจังหวัดนครศรีธรรมราช ว่า “ไศวภูมิมณฑล” แปลว่า มณฑลสถานแห่งพระศิวะ ข้าพเจ้าขอต่อยอด ให้ว่านี่คือเมืองของพระศิวะ หรือก็คือเมืองตามพรลิงค์นั่นเอง ชื่อตามพรลิงค์ หรือตามพรลิงเคศวร ในระยะแรกๆอาจเป็นชื่อลิงค์ที่ได้รับการสถาปนาบนยอดเขาที่มีลักษณะเป็นศูนย์ กลางของจักรวาลก็ได้
เขาคา : ศูนย์กลางจักรวาลของเมืองตามพรลิงค์
เมื่อฤดูร้อนปี พ.ศ. 2543 ข้าพเจ้าและนักโบราณคดีรุ่นน้องไปขุดค้นอยู่ที่เขาศรีวิชัย (หรือเขาพระนารายณ์ในชื่อเดิม) อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เขาศรีวิชัยเป็นภูเขาลูกโดด ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ กว้างประมาณ 100 เมตร ยาวประมาณ 650 เมตร บนยอดเขามีเนินโบราณสถานตั้งอยู่ตลอดแนวสันเขาประมาณ 8 เนิน ณ ภูเขาแห่งนี้เคยพบเทวรูปพระวิษณุหรือพระนารายณ์ขนาดเท่าคนจริง (สูงประมาณ 170 เซนติเมตร) อยู่บนยอดเขาทางด้านทิศเหนือ ต่อมาได้มีการนำพระนารายณ์องค์นี้ไปไว้ที่กรุงเทพฯเมื่อ 80 กว่าปีมาแล้ว ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร หลังจากนั้นก็ได้พบเทวรูปพระนารายณ์อีก 3 องค์ในสภาพไม่สมบูรณ์ หลักฐานที่กล่าวมานี้ชี้ให้เห็นว่าโบราณสถานบนยอดเขาควรจะเป็นเทวสถานเพื่อ บูชาพระวิษณุในศาสนาฮินดูลัทธิไวษณพนิกาย
ในการขุดค้นครั้งนี้สิ่งที่สร้างความตื่นตาตื่นใจที่สุดก็คือ การค้นพบฐานหินทรงปิระมิดยอดตัด ที่เกิดจากการนำก้อนหินขนาดใหญ่มาก่อเรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ ตั้งแต่เชิงเขาขึ้นไปในรูปฐานปิระมิดจนถึงยอดเขาก็จะปรับพื้นข้างบนให้เป็น ที่ราบเรียบ ฐานปิระมิดนี้จึงได้รับชื่อเรียกว่าฐานปิระมิดยอดตัด ระหว่างการเรียงหินได้ถมดินลูกรัง ก้อนหินขนาดใหญ่ หินที่ถูกทุบให้แตกเป็นก้อนเล็กๆ ถมอัดลงไปบนภูเขาธรรมชาติที่มีระดับสูงต่ำไม่เท่ากัน เมื่อถึงยอดเขาก็ปรับพื้นที่ให้เป็นแนวระนาบเรียบเพื่อสร้างเทวาลัย ศักดิ์สิทธิ์บนยอดเขา สิ่งก่อสร้างที่กล่าวถึงนี้เป็นการดัดแปลงภูเขาธรรมชาติให้กลายเป็นภูเขา ศักดิ์สิทธิ์ ด้วยฝีมือของแรงงานจำนวนมากที่คงมีระบบการควบคุม จัดการและดำเนินการให้เป็นไปตามความต้องการของผู้มีอำนาจ ถึงแม้ว่าความศรัทธาในองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเป็นแรงผลักดันอย่างหนึ่งในการ สร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา แต่ในการก่อสร้างศาสนสถานขนาดใหญ่ที่ต้องเกณฑ์แรงงานคนจำนวนมาก น่าจะมีสิ่งที่แฝงอยู่และสิ่งนั้นก็คืออำนาจรัฐ หรืออำนาจทางการเมืองการปกครองที่เข้ามาดำเนินการให้เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ อย่างใดอย่างหนึ่งของผู้ปกครอง ซึ่งเข้าใจว่าผู้ปกครองในยุคนี้ (ประมาณพุทธศตวรรษที่ 12-14) น่าจะยกระดับเป็นพระราชาหรือกษัตริย์มิใช่ผู้นำหมู่บ้านธรรมดาๆ
จากหลักฐานที่เขาศรีวิชัยเป็นกระจกสะท้อนภาพศาสนสถานบนยอดเขาในเมืองนครศรี ธรรมราชที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันคือ เขาคา ในเขตอำเภอสิชล ซึ่งเป็นภูเขาลูกโดด บนยอดเขานี้มีเทวสถานเรียงรายกันหลายหลัง ที่น่าสนใจที่สุด คือโบราณสถานที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือสุดของเขาคา สภาพปัจจุบันค่อนข้างรก ยังมิได้ขุดแต่งศึกษารูปแบบสถาปัตยกรรม จึงยังมิได้พัฒนาแต่อย่างใด อีกทั้งตำแหน่งที่ตั้งของโบราณสถานอยู่บริเวณยอดเขาคนละเนินกับโบราณสถานก่อ อิฐทางยอดเนินด้านทิศใต้ จึงทำให้เป็นที่ลับตา คนทั่วไปที่ไปเยี่ยมชมเขาคาจึงเดินทางไปไม่ถึง
สิ่งที่สะดุดตาที่สุดของเนินโบราณสถานทางทิศเหนือคือ มีโขดหินธรรมชาติแท่งใหญ่โผล่พ้นดินขึ้นมาในมุมเอียงประมาณ 70 –80 องศา สูงประมาณ 2 เมตรเศษ ก้อนหินนี้มีร่องรอยการกะเทาะที่ขอบส่วนบนให้มีลักษณะคล้ายเส้นเอ็นของส่วน หนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย เรียกว่าเส้นพรหมสูตร ซึ่งจะสลักเป็นเส้นดิ่งบนส่วนหน้าแล้วลากลงมาทางซ้ายและขวา ลากไปพบกันด้านหลังเรียกว่า เส้นปารศวสูตร แม้ว่าแท่งหินธรรมชาติแท่งนี้จะมีเส้นลักษณะของพรหมสูตรและปารศวสูตรไม่ ชัดเจนเหมือนส่วนสำคัญของมานุษลึงค์ (ลึงค์ที่มนุษย์สร้างขึ้น) แต่องค์ประกอบอื่นๆที่ประกอบกันเป็นศาสนสถานบ่งชี้ว่าแท่งหินนี้มิใช่แท่ง หินธรรมดาๆ แต่เป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระศิวะ
องค์ประกอบที่กล่าวถึงนี้ ได้แก่ แนวหินที่ก่อเรียงซ้อนกัน 3 แถวในลักษณะยกเป็นแท่นภายในถมดินแล้วปรับด้านบนให้เรียบ อยู่ในผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 14.20 x 16 เมตร ก่อล้อมแท่งหินที่น่าจะเป็นศิวลึงค์ไว้ตรงกลาง ถัดจากแนวแท่นหินออกไปด้านนอกมีลักษณะสิ่งก่อสร้างที่เกิดจากการนำก้อนหินมา ก่อเรียงกันเป็นแนวเขตคล้ายกำแพงแก้วเพื่อกำหนดขอบเขตศาสนสถาน มีผังเกือบเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้าง-ยาวประมาณด้านละ 34.50 เมตร แนวหินขอบนอกที่ครั้งแรกข้าพเจ้าเข้าใจว่าเป็นกำแพงแก้วนี้ก็พบที่โบราณสถาน บนยอดเขาศรีวิชัย แต่เมื่อดำเนินการขุดค้น ขุดแต่งโบราณสถานแล้วจึงพบว่าสิ่งนี้คือ ฐานหินทรงปิระมิดยอดตัด ไม่ใช่กำแพงแก้วที่ก่อล้อมเพื่อกำหนดเขตโบราณสถาน เพราะฉะนั้นแนวฐานหินที่เขาคาก็น่าจะสร้างด้วยเทคนิคเดียวกันกับโบราณสถาน ที่เขาศรีวิชัย คือมีการนำก้อนหินขนาดใหญ่ก่อเรียงมาจากเชิงเขาในรูปทรงของฐานปิระมิด เมื่อถึงยอดเขาก็ปรับพื้นที่ให้เรียบโดยการถมอัดปรับพื้นและปรับระดับแล้ว ก่อสร้างเทวสถานบนยอดเขา ดังนั้นแท่งหินธรรมชาติที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนฐานหินนี้จะต้องเป็น สัญลักษณ์สูงสุดทางศาสนา ซึ่งจะเป็นอะไรอย่างอื่นไปไม่ได้นอกเสียจาก “ศิวลึงค์”
บางท่านเรียกศิวลึงค์ที่โบราณสถานแห่งนี้ว่า “ลิงคบรรพต” อาจารย์ก่องแก้ว วีระประจักษ์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านภาษาโบราณ กรมศิลปากร ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับการอธิบายว่าสิ่งใดคือลิงคบรรพตว่า ให้ดูที่องค์ประกอบแวดล้อมของสถานที่นั้น ถ้ามีองค์ประกอบแวดล้อมชัดเจนว่าสิ่งนั้นสร้างขึ้นหรือปรับใช้เพื่ออุทิศ ถวายแต่พระศิวะโดยการสถาปนาศิวลึงค์ธรรมชาติบนยอดเขา สิ่งนั้นก็จะเป็นลิงคบรรพตคือ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์
ในแคว้นปาณฑะรังคะซึ่งเป็นของพวกจามทางตอนใต้ของประเทศเวียดนาม มีภูเขาลูกหนึ่งตรงปลายแหลมบนยอดภูเขาที่เด่นตรงออกมาคล้ายกับแท่งศิวลึงค์ เขาลูกนี้เห็นได้ทั้งจากที่ราบภายในและจากทะเล โดยเฉพาะจากทะเลนั้น เป็นสิ่งที่นักเดินเรืออาจใช้สังเกตเป็นสัญลักษณ์ของภูมิประเทศ (Land mark) ว่าได้เดินทางมาถึงชายฝั่งทะเลของเมืองใดแล้ว ดูเหมือนความโดดเด่นของภูเขาที่มีเดือยคล้ายศิวลึงค์อยู่บนยอดเขานี้ได้มี ผู้จดบันทึกไว้ในจดหมายเหตุจีนโบราณ และเรียกภูเขาลูกนี้ว่าลิงคบรรพต
มีเขาสูงอีกลูกหนึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ในเขตเมืองจัมปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีชื่อว่าภูเก้า สูงตระหง่านอยู่เหนือที่ราบลุ่มของเมืองจัมปาสัก บนยอดเขามีเดือยหรือแท่งหินที่ดูคล้ายลึงค์ธรรมชาติ ตรงไหล่เขาและเชิงเขาลูกนี้เป็นที่ตั้งปราสาทขอมที่มีมาตั้งแต่สมัยพระเจ้า สุริยวรมันที่ 1 (พ.ศ.1545-1593) แห่งอาณาจักรกัมพูชา เรียกกันทั่วไปในปัจจุบันว่า ปราสาทวัดภู เป็นปราสาทขนาดใหญ่และสวยงามไม่แพ้เขาพระวิหาร รองศาสตราจารย์ศรีศักร วัลลิโภดมตีความว่าบริเวณที่เป็นเมืองจัมปาสักเดิมมีเมืองขอมรูปสี่เหลี่ยม เกือบเป็นจัตุรัสตั้งอยู่ เป็นร่องรอยของเมืองเศรษฐปุระ และมีความเกี่ยวข้องกับบ้านเมืองในสมัยเจนละที่หลายท่านตั้งข้อสังเกตว่า เป็นเมืองสำคัญของเจนละบก ร่องรอยของเมืองเศรษฐปุระที่มีมาก่อนเมืองพระนคร (Angkor) ปราสาทวัดภู และภูเก้า ที่มีศิวลึงค์ธรรมชาตินั้นก็คือสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความนึกคิดของคนเจนละ และขอมโบราณที่เกี่ยวกับการสร้างบ้านแปงเมืองที่สัมพันธ์กับภูเขา ศักดิ์สิทธิ์
ดังนั้นแท่งหินที่โบราณสถานด้านทิศเหนือของเขาคาจึงเข้าข่าย “ลิงคบรรพต” เป็นการเลือกสรรชัยภูมิที่มีความเหมาะสมกับคติความเชื่อทางศาสนา จึงเกิดบูรณาการของการสร้างบ้านแปงเมืองที่ผูกพันกับภูเขาศักดิ์สิทธิ์ โดยที่ภูเขาลูกนี้มีลึงค์ที่พระศิวะทรงประทานมาให้ เป็นลึงค์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เรียกว่า “สวยัมภูลึงค์” หากสวยัมภูลึงค์เกิดการแตกหักไปต้องเอาทองหรือทองแดงไปซ่อม จึงสันนิษฐานว่าสวยัมภูลึงค์หรือลิงคบรรพตนี้อาจเป็นที่มาของคำว่า “ตามพรลิงค์” และเป็นศาสนสถานแห่งแรกที่สร้างขึ้นบนเขาคา ในลักษณะเทวสถานกลางแจ้งที่ไม่มีตัวอาคารคลุม สร้างกลมกลืนอยู่กับธรรมชาติ หลังจากนั้นต่อมาจึงได้มีการสร้างเทวสถานก่ออิฐเพิ่มเติมขึ้นทางยอดเนินด้าน ทิศใต้
บนเกาะชวาภาคกลางมีจารึกกล่าวถึงการประดิษฐานศิวลึงค์ที่เขาวูกีร์ เมื่อ พ.ศ.1275 โดยพระเจ้าสัญชัย ตามคติความเชื่อที่ว่าการกระทำเช่นนั้นทำให้พระศิวะสามารถเข้ามาสู่องค์ กษัตริย์และให้ความเป็นอมตะแก่พระองค์ ต่อมาที่เกาะชวาภาคตะวันออก พระเจ้าเกียรตินครได้ประดิษฐานศิวลึงค์ไว้ในห้องกลางของจันทิสิงหัดส่าหรี เมื่อต้นพุทธศตวรรษที่ 19
ในเขมรสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ได้ประดิษฐานลัทธิเทวราช หมายถึงลัทธิที่ถือว่าพระราชาได้รับอำนาจจากพระศิวะผ่านพราหมณ์ และพราหมณ์จะประดิษฐานอำนาจของพระราชาที่ศิวลึงค์ซึ่งสร้างขึ้นบนภูเขาโดย สมมติว่าศิวลึงค์นั้นประดิษฐานบนยอดเขาพระสุเมรุ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของโลก โดยประกอบพิธีประดิษฐานศิวลึงค์ขึ้นบนเขาพนมกุเลน (มเหนทรบรรพต) ในพุทธศตวรรษที่ 14 ด้วยคติความเชื่อนี้ศิวลึงค์จึงแพร่หลายมากในกัมพูชา
ในจัมปา(เวียดนาม)พบจารึกจำนวน 130 หลัก มีถึง 92 หลัก ที่กล่าวถึงพระศิวะ จารึกมิเซิน (พ.ศ. 1200) กล่าวว่าพระเจ้าภัทรวรมันทรงประดิษฐานศิวลึงค์นามว่า ภัทเรศวร ที่เทวสถานมิเซิน ซึ่งเป็นเทวสถานแห่งแรกของจัมปา และเป็นประเพณีสืบต่อมาว่ากษัตริย์องค์ต่อมาต้องประดิษฐานศิวลึงค์ ซึ่งมีศิวลึงค์ที่ประดิษฐานโดยกษัตริย์จัมปาทั้งหมด 12 องค์
คติความเชื่อเรื่องการประดิษฐานศิวลึงค์บนยอดเขาแพร่กระจายไปทั่วอุษาคเน ย์ เริ่มตั้งแต่รัฐเก่าแก่ที่สุดเช่นรัฐฟูนัน เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 8-11 ก็เป็นรัฐที่นับถือศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกาย พระราชาแห่งฟูนันมีสมญาว่า กษัตริย์แห่งภูเขา ( King of the mountain) ดังนั้นศิวลึงค์และภูเขาศักดิ์สิทธิ์จึงเป็นสัญลักษณ์ของการสร้างบ้านแป งเมืองและการสถาปนาอำนาจของกษัตริย์ที่อิงอยู่กับหลักความเชื่อทางศาสนา ที่เปรียบพระราชาเป็นดั่งพระจักรพรรดิราช พระองค์เป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่เหนือพระราชาอื่นๆทั้งปวงในจักรวาล จึงได้มีพิธีกรรมสถาปนาศิวลึงค์ขึ้นบนยอดเขาที่สมมติให้เป็นเขาพระสุเมรุอัน เป็นแกนกลางของจักรวาล บ้านเมืองของพระจักรพรรดิราชพระองค์นั้นจึงเป็นดั่งศูนย์กลางของโลก มีอำนาจสูงสุดในจักรวาล ความเจริญรุ่งเรืองของรัฐจึงผูกพันกับการทำพิธีบูชาศิวลึงค์
บนยอดเขาคามีเทวสถานทั้งสิ้น 5 หลัง เทวสถานด้านทิศเหนือที่มีสวยัมภูลึงค์เป็นเทวสถานที่ไม่มีอาคารคลุม เข้าใจว่าเป็นเทวาลัยรุ่นแรกบนเขาคาที่ก่อสร้างโดยการดัดแปลงภูเขา ธรรมชาติให้เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ โดยนำก้อนหินมาก่อเป็นฐานโอบล้อมภูเขาในส่วนที่เป็นฐานของเทวาลัย เพื่อประดิษฐานศิวลึงค์ธรรมชาติหรือ สวยัมภูลึงค์ เข้าใจว่าช่วงนี้เป็นยุคแรกของเมืองตามพรลิงค์น่าจะเริ่มต้นประมาณพุทธ ศตวรรษที่ 12 เป็นอย่างช้า กษัตริย์องค์ต่อๆมาของเมืองตามพรลิงค์คงจะสร้างเทวาลัย(วิมาน)ประจำ พระองค์ โดยการประดิษฐานศิวลึงค์ที่เรียกว่า มานุษลึงค์ คือลึงค์ที่มนุษย์สร้างขึ้นตามกฎเกณฑ์ที่บ่งบอกไว้ในอาคม คือมานุษยลึงค์ที่สมบูรณ์แบบจะต้องประกอบด้วยส่วนต่างๆ 3 ส่วน คือส่วนล่างสุดเป็นรูปสี่เหลี่ยมเรียกว่า พรหมภาค ส่วนกลางเป็นรูปแปดเหลี่ยมเรียกว่า วิษณุภาค และส่วนยอดเป็นรูปทรงกระบอกยอดมนเรียกว่ารุทรภาค ศิวลึงค์นี้จะวางอยู่บนฐานที่ทำเป็นแท่นมีร่องน้ำหรือพวยยื่นออกมาทำหน้าที่ รองรับน้ำสรงศิวลึงค์ แท่นฐานศิวลึงค์นี้เป็นสัญลักษณ์แทนรูปโยนิ (อวัยวะเพศหญิง) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเทพีตามคติการบูชาอิตถีพละในลัทธิศักติ ซึ่งบนยอดเขาคาได้พบฐานโยนิที่สวยงามจำนวน 2 แท่นฐาน ที่โบราณสถานหมายเลข 2 และ 4 อาคารโบราณสถานหมายเลข 2 เป็นอาคารก่ออิฐขนาดใหญ่มีฐานสูง เป็นเทวาลัยประธานที่สร้างขึ้นเพื่อการประดิษฐานศิวลึงค์ ในการขุดแต่งโบราณสถานแห่งนี้ได้พบวัตถุมงคลที่ใช้ประกอบในพิธีวางศิลาฤกษ์ (คงฝังไว้ใต้ฐานอาคาร) เช่นเดียวกับเทวสถานในอินเดีย พิธีวางศิลาฤกษ์หมายถึงการประกอบพิธีกรรมในการวางรากฐานของจักรวาลหรือหลัก แห่งจักรวาล วัตถุมงคลที่พบได้แก่ แผ่นทองคำรูปช้างในลักษณะช้างค้ำที่เชิงเขาพระสุเมรุ อันหมายถึงศาสนสถานนั้นคือศูนย์กลางจักรวาลนั่นเอง ดังนั้นผู้ที่สร้างเทวสถานบนยอดเขาคาควรจะเป็นพระมหากษัตริย์ ซึ่งเมืองๆนั้นน่าจะเป็นเมืองตามพรลิงค์มากกว่าเมืองใด ตัวเมืองคงประกอบด้วยหมู่บ้านใหญ่น้อยที่รายล้อมรอบอยู่ในบริเวณพื้นที่ราบ รอบเขาคาและพื้นที่รอบนอก ซึ่งปัจจุบันได้พบแหล่งโบราณคดีจำนวนมากในพื้นที่ราบตั้งแต่คลองท่าเรือรี คลองท่าควาย คลองท่าเชี่ยว คลองท่าทน คลองท่าลาด คลองหิน คลองกลาย คลองท่าสูง คลองท่าพุด ลงมาถึงคลองปากพยิง จนเข้าเขตคลองท่าดีและคลองท่าเรือ
ตามพรลิงค์บนหาดทรายแก้ว
เมื่อ พ.ศ.1773 ยังปรากฏชื่อเมืองตามพรลิงค์ในจารึกหลักที่ 24 ของพระเจ้าจันทรภาณุ ศรีธรรมราช หากนับย้อนกลับขึ้นไปถึงยุคตามพรลิงค์ที่เริ่มต้น ณ เขาคาเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 12 ก็จะกินเวลาประมาณ 600 ปี ระยะเวลายาวนานเช่นนี้น่าจะเกิดกระแสความเปลี่ยนแปลงมากมายในเมืองตามพร ลิงค์ เพียงแต่เราไม่มีหลักฐานว่าสิ่งนั้นคืออะไร ถึงกระนั้นอย่างน้อยที่สุดในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16 ก็ปรากฏหลักฐานจากภายนอกที่น่าจะมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อเมืองตามพร ลิงค์ นั่นคือสงครามจากโจฬะ
ในจารึกเมืองตันชอร์ของพระเจ้าราเชนทร์โจฬะที่ 1 แห่งอินเดียใต้ กล่าวถึงการยกกองทัพของพระเจ้าราเชนทร์เข้าปล้นสดมภ์เพื่อตัดทอนอำนาจของศรี วิชัยในหมู่เกาะทะเลใต้ เมื่อปี พ.ศ. 1568 ทั้งนี้เพราะศรีวิชัยดำเนินนโยบายผูกขาดการค้าทำให้โจฬะไม่พอใจ ความตอนหนึ่งของจารึกเมืองตันชอร์ กล่าวว่า พระเจ้าราเชนทร์ส่งกองทัพเรือขนาดใหญ่ยึดประตูชัยที่ชื่อว่า “วิทยาธรโตรณะ” ซึ่งอยู่ตรงประตูชัยของนครหลวงที่ชื่อ “ศรีวิชัย” นอกจากนี้พระเจ้าราเชนทร์ยังยกทัพเข้ายึดและปล้นสดมภ์เมืองต่างๆจำนวน 12 เมือง ซึ่งสันนิษฐานว่าตั้งอยู่บนคาบสมุทรมลายูและเกาะสุมาตรา 1ใน 12 เมืองนี้มีชื่อเมือง “มาทมาลิงคัม” ปรากฏอยู่ด้วย นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าคือเมืองตามพรลิงค์ (อย่างน้อยที่สุดก็ปรากฏคำว่า “ลิงคม” ในขณะที่เมืองอื่นๆไม่มีเมืองใดลงท้ายด้วยคำนี้) หมายความว่าชื่อตามพรลิงค์ถ้าหากมีมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12 ก็ยังดำรงอยู่สืบต่อมาถึงพุทธศตวรรษที่ 16 จนถึงพุทธศตวรรษที่ 18 การโจมตีของโจฬะน่าจะส่งผลกระทบต่อเมืองตามพรลิงค์อย่างแน่นอน เพียงแต่เราไม่มีหลักฐานว่ามีผลกระทบมากน้อยแค่ไหน เพียงใด ถึงขั้นต้องย้ายเมือง(ศูนย์กลาง)หรือไม่
อย่างไรก็ตามเมื่อถึงสมัยของพระเจ้าจันทรภาณุผู้เป็นใหญ่ในตามพรลิงค์ เมื่อปลายพุทธศตวรรษที่ 18 มีหลักฐานค่อนข้างแน่ชัดว่าเมืองตามพรลิงค์ คือเมืองที่ตั้งอยู่บนสันทรายที่เรียกว่า หาดทรายแก้ว และศาสนาในเมืองตามพรลิงค์ก็เปลี่ยนไปกลายเป็นพุทธศาสนาที่พระราชามีราชนิติ เทียบเท่าพระเจ้าธรรมาโศกราช(แห่งอินเดีย) พระเจ้าจันทรภาณุ ศรีธรรมราชก็มีหลักฐานว่าเกี่ยวข้องกับทางลังกา สอดคล้องกับหลักฐานพุทธศาสนาบนหาดทรายแก้วในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 คือองค์พระบรมธาตุก็เป็นสถูปทรงกลมแบบลังกา ประวัติพุทธศาสนา รวมทั้งตำนานการอัญเชิญพระทันตธาตุก็ล้วนมาจากลังกา เมืองตามพรลิงค์ในสมัยพระเจ้าจันทรภาณุ หรือเมืองตามพรลิงค์ในสมัยราชวงศ์ปทุมวงศ์(ราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราช)ก็เป็น เมืองตามพรลิงค์ที่ได้รับอิทธิพลพุทธศาสนาเถรวาทแบบลังกาวงศ์ พระพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนของเมืองตามพรลิงค์ จากชื่อดั้งเดิมที่หมายถึงเมืองแห่งพระศิวะ กลายเป็นนครศรีธรรมราชอันหมายถึงนครแห่งพระราชาผู้ทรงธรรมอันประเสริฐ
ชื่อที่เปลี่ยนไปนี้ปรากฏหลักฐานจากการที่เมืองอื่นๆเรียกชื่อเมืองนี้ ตามพระนามของพระราชาผู้ทรงพระอิสริยยศเป็น พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช ตัวอย่างจากหนังสือชินกาลมาลีปกรณ์ เอกสารตำนานในแคว้นล้านนา เรียกเมืองตามพรลิงค์ว่า “สิริธรรมนคร” อันเป็นชื่อที่มีความหมายเดียวกับ “นครศรีธรรมราช” และเรียกพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชว่า “พระเจ้าสิริธรรมนคร” ในศิลาจารึกหลักที่ 1 ของพ่อขุนรามคำแหงเรียกว่า “ศรีธรรมราช” และในเอกสารสมัยอยุธยาก็เรียกเมืองแห่งนี้ว่า นครศรีธรรมราช ชื่อเมืองตามพรลิงค์จึงค่อยๆสาบสูญไป ถึงกระนั้นเมืองตามพรลิงค์ก็มิได้ถึงกาลอวสานเพียงแต่เปลี่ยนสภาพไปเป็น เมืองแห่งพระราชาผู้ทรงธรรมอันประเสริฐ จุดเปลี่ยนของศาสนาน่าจะชี้นำถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองในช่วง ปลายพุทธศตวรรษที่ 17 ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 18 ที่ปรากฏราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราชขึ้นในศิลาจารึกหลักที่ 35 ที่ดงแม่นางเมือง อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อ พ.ศ. 1710 สืบต่อมาถึงการปรากฏของพระเจ้าจันทรภาณุ ศรีธรรมราช เมื่อ พ.ศ. 1773
กล่าว โดยสรุปเมืองตามพรลิงค์น่าจะมีจุดเริ่มต้นที่การสถาปนาอำนาจรัฐ โดยพระราชาผู้นับถือศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกาย โดยการประดิษฐานหรือสถาปนาศิวลึงค์บนยอดเขาในลักษณะศูนย์กลางแห่งจักรวาล ซึ่งภูเขาแห่งนั้นปัจจุบันเรียกว่า “เขาคา” มีโบราณวัตถุ โบราณสถานเนื่องในศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกายจำนวนมาก และที่สำคัญคือการปรากฏของสวยัมภูลึงค์หรือลิงคบรรพต ที่เกี่ยวข้องกับพระราชาตามแบบแผนทางคติความเชื่อของฮินดูที่เชื่อว่าพระ ราชารับถ่ายทอดอำนาจมาจากพระศิวะมหาเทพ อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่มักจะเกี่ยวข้องกับการสร้าง บ้านแปงเมืองที่ปรากฏในบ้านเมืองต่างๆทั่วดินแดนอุษาคเนย์ จุดเริ่มต้นของเมืองตามพรลิงค์น่าจะเริ่มขึ้นแล้วไม่หลังกว่าพุทธศตวรรษที่ 12 และชื่อตามพรลิงค์ยังคงอยู่ถึงพุทธศตวรรษที่ 18 ซึ่งในช่วงนี้น่าจะมีจุดหักเหทางการเมือง รวมไปถึงการเปลี่ยนราชวงศ์มาเป็นราชวงศ์ปทุมวงศ์หรือที่รู้จักกันในนามของ ราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราช ที่พระราชาทรงเป็น “ศรีธรรมราช” เมืองตามพรลิงค์จึงกลายเป็นเมืองนครศรี ธรรมราช มีพุทธศาสนาเป็นหลักชัยของบ้านเมืองสืบต่อมาจนทุกวันนี้
ส่วนคำถามเรื่องกะมะลิงที่ตั้งโจทย์ไว้ข้างต้น ข้าพเจ้าอยากตั้งข้อสังเกตว่า เมืองกะมะลิงอาจจะใช่หรือไม่ใช่เมืองตามพรลิงค์ก็ได้ เพราะหลักฐานยังไม่ชัดจึงไม่สามารถระบุแน่นอนลงไปได้ หากแต่ข้อมูลเรื่องเมืองท่ากะมะลิงในพุทธศตวรรษที่ 8 เป็นการส่งสัญญาณให้เห็นถึงกระบวนการสร้างบ้านแปงเมืองของเมืองท่าต่างๆใน คาบสมุทรมลายูที่มีแรงกระตุ้นจากกิจการพาณิชย์นาวีโพ้นทะเล ซึ่งต่อมาเมื่อมีการนำคติความเชื่อทางศาสนาเข้ามาเป็นพื้นฐานให้กับอำนาจ รัฐ เราจึงเห็นบ้านเมืองที่มีพระราชาตามแบบแผนอย่างอินเดีย เมืองกะมะลิงจึงอาจเป็นเมืองท่าแถบคลองท่าเรือหรือเป็นเมืองท่าแถบคลองท่าทน ก็มีความเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง แต่ภาพของเมืองตามพรลิงค์กลับปรากฏชัดในแถบอำเภอสิชลและอำเภอท่าศาลา ส่วนเมืองพระเวียงที่ตั้งอยู่บนหาดทรายแก้วใกล้กับเมืองโบราณนครศรี ธรรมราช ซึ่งนักวิชาการหลายท่านให้ความสนใจว่าเป็นเมืองเดิมก่อนที่จะมาตั้งเมือง ใหม่ที่เมืองอันมีพระบรมธาตุนั้น ข้าพเจ้ามีความเห็นว่าบนสันทรายอันเป็นที่ตั้งเมืองพระเวียงและเมืองโบราณ นครศรีธรรมราช น่าจะมีผู้คนตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยอย่างน้อยตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 5 เป็นต้นมา เมืองพระเวียงมีลักษณะเป็นย่านการค้ามาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12 แต่หลักฐานด้านศาสนวัตถุที่มีอายุเก่าลงไปถึงช่วงพุทธศตวรรษที่ 10-14 ยังด้อยกว่าบ้านเมืองแถบสิชล-ท่าศาลามาก แม้เมืองพระเวียงอาจจะเคยเป็นเมืองตามพรลิงค์ในยุคสมัยหนึ่ง แต่คงไม่ก่อนเมืองตามพรลิงค์ที่สิชล-ท่าศาลาเป็นแน่ เพราะหลักฐานแถบนี้หนาแน่นและหนักแน่นกว่ามาก ชนิดที่นำมาเปรียบเทียบกันไม่ได้เลยทีเดียว
ก่อนจะจบบทความนี้ก็อยากให้ท่านตั้งข้อสังเกตว่า เมืองตามพรลิงค์ไม่น่าใช่กรุงศรีวิชัยที่ปรากฏในจารึกหลักที่ 23 ที่วัดเสมาเมือง เมื่อพุทธศตวรรษที่ 14 เมืองตามพรลิงค์คงไม่เปลี่ยนไปใช้ชื่อกรุงศรีวิชัย แล้วอยู่ๆไปก็กลับมาใช้ชื่อตามพรลิงค์อีกครั้งหนึ่ง แต่เมืองตามพรลิงค์ดำรงไว้ซึ่งนามนี้ตลอดมาจนในที่สุดเปลี่ยนชื่อเป็นนครศรี ธรรมราช ตามพระนามของพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช และเมืองบริวารของเมืองนครศรีธรรมราชก็คือเมือง 12 นักษัตร ที่ปรากฏในตำนานเมืองนครศรีธรรมราช ดังนั้นจึงไม่มีกรุงศรีวิชัย 12 นักษัตร ซึ่งจะเขียนถึงในตอนต่อไป
…………………………
บรรณานุกรม
นงคราญ ศรีชาย , เขาคา : วิมานแห่งพระศิวะมหาเทพ, ประวัติศาสตร์ โบราณคดี นครศรีธรรมราช, กรุงเทพฯ: บริษัท เอ.พี. กราฟิค ดีไซน์ และการพิมพ์ จำกัด, 2543
นงคราญ ศรีชายและวรวิทย์ หัศภาค , โบราณคดีศรีวิชัย : มุมมองใหม่การศึกษาวิเคราะห์แหล่งโบราณคดีรอบอ่าวบ้านดอน , นครศรีธรรมราช : โรงพิมพ์เม็ดทราย ,2543
ประทุม ชุ่มเพ็งพันธุ์ , อาณาจักรตามพรลิงค์ , รายงานการสัมมนาประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช ครั้งที่1, วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช ,กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์กรุงสยามการพิมพ์ ,2521
ผาสุข อินทราวุธ , ศิวลึงค์ : ในภาคใต้ , สารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ เล่ม 9, สถาบันทักษิณคดีศึกษา ,กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์ ,2529
ศิลปากร,กรม , จารึกในประเทศไทย เล่ม 4 , หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร พิมพ์เผยแพร่ ,กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ภาพพิมพ์,2529
ศรีศักร วัลลิโภดม , ภูเขาศักดิ์สิทธิ์กับความเป็นสากล, เมืองโบราณ , ปีที่ 25 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม-กันยายน ,2542
การตั้งศาสนาพราหมณ์ที่ตามพรลิงค์
อาณาจักร ตามพรลิงค์ แห่งนี้นับเป็นอาณาจักรเก่าแก่ทางภาคใต้ของประเทศไทย มีเมืองตามพรลิงค์(เมืองนครศรีธรรมราช)เป็นศูนย์กลางอาณาจักร ปรากฏหลักฐานว่าเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๗ นั้น ในระยะแรกเมืองตามพรลิงค์แห่งนี้ได้ตกอยู่ในอำนาจการปกครองของอาณาจักรฟูนัน และอาณาจักรศรีวิชัย ภายหลังเมืองแห่งนี้ได้มีความสำคัญขึ้นตามลำดับจนในพุทธศตวรรษที่ ๑๓ เมืองตามพรลิงค์จึงได้ขยายอำนาจขึ้นเป็นศูนย์กลางการค้าและการปกครองเมือง ต่างๆในดินแดนทางภาคใต้ ในที่สุดได้สร้างอาณาจักรขนาดใหญ่ขึ้นในพุทธศตวรรษที่๑๔-๑๕
อาณาจักร แห่งนี้สามารถขยายอาณาเขตปกครองตั้งแต่เมืองปัตตานีและหัวเมืองทางภาคใต้ เกือบทั้งหมด ในพุทธศตวรรษที่ ๑๙ อาณาจักรตามพรลิงค์หรือเมืองนครศรีธรรมราชได้เสื่อมอำนาจลงและตกอยู่ใต้ อำนาจของกรุงศรีอยุธยาในที่สุด
เมืองตามพร ลิงค์(เมืองนครศรีธรรมราช)แห่งนี้ ภายหลังได้พบว่ามีโบราณสถานของศาสนาพราหมณ์อยู่บนเขาคา ตำบลสำเภา อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช ทำให้เกิดหลักฐานใหม่ว่า ศาสนาพราหมณ์นั้นได้เดินทางเข้ามาเผยแพร่และตั้งแหล่งพราหมณ์ขึ้นในดินแดน แถบนี้ก่อนที่จะเข้าไปมีบทบาทในดินแดนสุวรณภูมิต่อไป
เทวสถาน บนยอดเขาคาที่เกิดขึ้นได้ต้องมีชุมชนโบราณอยู่ด้วย และพื้นที่สำคัญนี้จากการสำรวจพบว่า มีแนวสันทรายนครศรีธรรมราช(คือสันทรายสิชล-ท่าศาลา)ทอดยาวจากทิศเหนือลงมา ทางทิศใต้ประมาณ ๕๐ กิโลเมตร มีอายุอยู่ในสมัยโฮโลซีน คืออายุราว ๕๐๐๐-๖๐๐๐ ปีลงมา ส่วนชุมชนที่อยู่อาศัยของมนุษย์ที่เกิดขึ้นในสมัยนั้นน่าจะอยู่แถวบริเวณ แนวเทือกเขานครศรีธรรมราชด้านทิศตะวันตก อันเป็นแหล่งต้นน้ำของคลองหลายสายที่ไหลเกือบเป็นเส้นตรงจากทิศตะวันตกออกไป สู่ทะเลด้านทิศตะวันออก ตอนกลางนั้นมีบริเวณที่ราบเชิงเขาและที่ราบนริมลำน้ำที่มีสภาพพื้นที่สูง กว่าบริเวณสันทรายใกล้ชายฝั่ง
การทับถมของตะกอนดินในแม่น้ำและ ความชุ่มชื้นของลมมรสมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดมาจากทะเลนั้น ได้ทำให้บริเวณที่ราบกว้างใหญ่ริมฝั่งแม่น้ำมีความอุดมสมบูรณ์ยิ่งกว่า บริเวณอื่น เอื้ออำนวยต่อการทำเกษตรกรรมเลี้ยงชุมชนที่เกิดขึ้นได้ อีกทั้งยังได้อาศัยลำน้ำเป็นเส้นทางคมนาคมติดต่อไปยังพื้นที่ตอนในกับ พื้นที่ชายฝั่งทะเลด้วย
บริเวณนี้เชื่อว่าน่าจะ เป็นแหล่งชุมชนของมนุษย์ในยุคนั้น และได้มีการติดต่อค้าขายกับพ่อค้าชาวอินเดีย มาตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๐ ชุมชนโบราณนี้อยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเขาคาและบริเวณวัดเบิก เขาพรง สำรวจพบเครื่องมือขวานหินขัด เครื่องมือของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่มีอายุประมาณ ๔,๐๐๐-๕,๐๐๐ ปี พบแหล่งโบราณคดีจำนวนมากกระจายอยู่ตามลุ่มแม่น้ำในเขตอำเภอสิชล และหนาแน่นอยู่ในท้องที่ตำบลเสาเภา ตำบลฉลอง ตำบลเทพราช ชุมชนมนุษย์ที่เขาคา-สิชลเหล่านี้ได้ตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยและสร้างวัฒนธรรม ของตนเองสืบทอดต่อมาจนถึงยุคเริ่มประวัติศาสตร์ มาจนได้มีการติดต่อค้าขายกับพ่อค้าชาวอินเดีย
ด้วย เหตุนี้ในพุทธศตวรรษที่ ๑๐-๑๘ บริเวณนี้จึงมีวัฒนธรรมและคติความเชื่อทางศาสนาของอินเดียเข้ามาสู่ชุมชน แห่งนี้โดยพ่อค้าและพราหมณ์เป็นผู้นำข้ามาเผยแพร่ นับเป็นแหล่งอารยธรรมของอินเดียที่เกิดเป็นแห่งแรก(ที่สำรวจพบ)ในบริเวณดัง กล่าว จากการสำรวจได้พบว่าแหล่งโบราณวัตถุและโบราณสถานเหล่านั้นเป็นเทวสถาน ที่แสดงถึงคติความเชื่อในลัทธิไศวนิกาย ซึ่งมีพระศิวะเป็นเทพเจ้า
ใน พุทธศตวรรษที่๑๒-๑๔นั้น ศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกายมีความเจริญมาก พบหลักฐานว่าชุมชนโบราณที่อยู่ในบริเวณนี้ได้ขยายตัวลงไปทางตอนใต้ตลอดแนวลำ น้ำเช่น ชุมชนวัดนาขอมที่ร้างอยู่ บริเวณนี้ได้พบว่ามีการตั้งเทวาลัยเป็นจำนวนมากทั้งที่อยู่บนเนินเขาและที่ ราบ ขณะนั้นพุทธสถานของชุมชนชาวพุทธได้เกิดขึ้นอยู่บริเวณที่ราบเท่านั้น
ดัง นั้นเขาคาจึงเป็นเขาที่ถูกเลือกสำหรับสร้างเทวสถานเพื่อเป็นเทวาลัยแห่งพระ ศิวะเทพ เพื่อให้เป็นศูนย์กลางของศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกาย คือใช้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐานศิวะลึงค์ตามคัมภีร์ศิวปุราณะ ก็เห็นจะต้องศึกษาทำเลของเทวสถานที่เป็นสำคัญต้นแบบศาสนาพราหมณ์ในไทยแห่ง นี้เสียก่อน
เขาคา นี้เป็นเขาลูกโดด ยาวประมาณ ๘๕๐ เมตร กว้างประมาณ ๓๐๐ เมตร ยอดเขามีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ ๗๒ เมตร เชิงเขาด้านใต้มีลักษณะเรียวกว่าด้านเหนือเล็กน้อย บนยอดเขามีเทวสถานของศาสนาพราหมณ์ตั้งอยู่ ห่างออกไปทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ ๕๐ เมตรมีแม่น้ำไหลผ่านเขาคาทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือและทิศเหนือ คือ คลองท่าทน มีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาหลวง ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสัญญลักษณ์ที่ใช้แทนเขาพระสุเมร์ตามอย่างภูเขาหิมาลัย ในอินเดีย เขาคาจึงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ประกอบพิธีกรรมของศาสนาพราหมณ์และ เป็นที่อยู่อาศัยของพราหมณ์ ซึ่งพบร่องรอยอาคารสถาปัตยกรรมตามแนวสันเขารวมทั้งหมด ๔ แห่ง สระน้ำ ๓ แห่ง และมีโบราณสถานที่ดัดแปลงจากสภาพแวดล้อมธรรมชาติอยู่สุดเนินเขาทางด้าน เหนืออีก ๑ แห่ง เชื่อว่าเป็นชุมชนของชาวบ้านที่อยู่กระจัดกระจายตามพื้นที่ราบรอบเขาคา ด้วยพบหลักฐานทางโบราณคดีเป็นจำนวนมาก เช่น เนินโบราณสถาน สระน้ำโบราณ พบศิวลึงค์ และชิ้นส่วนของสถาปัตยกรรม เช่น ฐานเสา ธรณีประตู กรอบประตู เป็นต้น เขาคานี้มีสองยอด ยอดหนึ่งมีลักษณะเป็นเนินเขาบนตะพักเขาที่สูง ๗๐ เมตร ยอดทางเหนือสูงประมาณ ๑๙๔ เมตร ทั้งสองยอดนี้มีโบราณสถานอยู่เรียงรายตามสันเขา โบราณสถานบนเขามี ๕ หลัง พบว่ามีบ่อรูปสี่เหลี่ยมทำบ่อน้ำมนต์ และท่อโสมสูตรในอาคารหลังใหญ่ กว้าง ๑๗ เมตร
ลักษณะของศิวลึงค์ตาม คัมภีร์ปุราณะที่พบอยู่บนเขาคานั้น ส่วนล่างสุดเป็นฐานรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสหมายถึง พรหมภาค ตรงกลางศิวลึงค์นั้นเป็นรูปแปดเหลี่ยมหมายถึง วิษณุภาค และสุดบนสุดของศิวลึงค์เป็นรูปกลมมน หมายถึง รุทรภาค นอกจากศิวลึงค์แล้วยังพบฐานโยนีเป็นจำนวนมาก มีฐานหนา ๙-๑๒ เซนติเมตร มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔
เทวสถานนี้แม้จะ สร้างเป็นเทพเจ้าของลัทธิไศวนิกายแล้ว ยังพบว่ามีการประดิษฐานไวษณพนิกายควบคู่ไปด้วยกัน ต่อมาในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ ได้พบว่ามีร่องรอยหลักฐานของชุมชนชาวพุทธฝ่ายมหายานเข้ามาตั้งหลักฐานอยู่ ใกล้ๆแหล่งที่เคยเป็นเทวสถานของศาสนาพราหณ์แห่งนี้ กลุ่มชาวพุทธได้ทำการดัดแปลงเทวสถานของพราหมณ์เป็นพุทธสถานแทน
บริเวณ แหล่งศาสนาพราหมณ์แห่งนี้ เมื่ออาณาจักรตามพรลิงค์(เมืองนครศรีธรรมราช)เจริญรุ่งเรืองขึ้น ผู้คนที่ชุมชนแห่งนี้จึงพากันอพยพไปอยู่ที่ศูนย์กลางแห่งใหม่
วิทยา การต่างๆของพราหมณ์อินเดียที่ถูกถ่ายทอดสู่ชุมชนนั้น ต่อมาได้มีบทบาทสำคัญในสังคมไทย โดยเฉพาะ วิชาโหราศาสตร์ และคัมภีร์ของศาสนาพราหมณ์
อาณาจักรตามพร ลิงค์จึงกลายเป็นแหล่งอารยธรรมของอินเดียโบราณที่บรรดาพ่อค้าและพราหมณ์ได้ เดินทางเข้ามาครั้งแรก ก่อนที่จะมีคณะสมณฑูตจากพระเจ้าอโศกมหาราช แห่งอินเดียได้นำหลักธรรมในพระพุทธศาสนาเข้ามาประกาศเผยแพร่ในดินแดน สุวรรณภูมิและได้มีการเจดีย์ขนาดใหญ่ขึ้นที่เมืองตามพรลิงค์(เมืองนครศรี ธรรมราช)และพระปฐมเจดีย์(เมืองนครปฐม)เป็นหลักฐาน