เส้นทางจาริกของพราหมณ์
ส่วนใหญ่ของชาวฮินดูในประเทศอินเดียแม้ในขณะนี้นับถือศาสนาพราหมณ์ผู้นับถือไม่จำเป็นต้องเป็น “นักบวช” คืออำนาจครองชีพแบบฆราวาส หมายถึงมีภรรยาและลูกก็ได้ พักอาศัยอยู่ตามนิวาสสถานบ้านช่องก็ได้คล้ายคลึงกับพระสงฆ์ชาวทิเบต แต่ทุกคนนับถือว่าตนเป็นนักบวชอยู่ตลอดเวลาปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างนักบวชทั้งหลายก็ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อพราหมณ์จาริกหรือทำนองอพยพไปไหนก็สามารถนำครอบครัวของตนไปด้วยก็ได้ และสามารถทำมาหากินไปตามวิถีทางของตนได้แต่ห้ามขาดเรื่องการแต่งงานกับคนนอก คือคนที่ไม่ใช่พราหมณ์ เพราะพราหมณ์ถือว่ามีวรรณะรองจากกษัตริย์อยู่สูงกว่าพวกแพศย์และพวกศูทร จะไปร่วมพงศ์พันธุ์กันไม่ได้ความคิดนี้มีอยู่มากในประเทศอินเดียเดี๋ยวนี้ลัทธิห้ามสมพงศ์ต่างวรรณะกับคนภายนอกนี้เท่ากับเป็นการกั้นวงล้อมของพวกพราหมณ์เอง
คณะของพราหมณ์ที่มุ่งหน้ามาทางตะวันออก ส่วนใหญ่เป็นเผ่าดราวิเดียน ซึ่งอยู่ทางปลายแหลมคอมอรินทางฝั่งตะวันออก ได้ค่อยๆ ทยอยกันออกมา โดยแบ่งเป็น ๒ สาย
สายที่ ๑ เริ่มต้นจากเมืองมัทราสและใต้ลงมาตามริมฝั่งทะเลมาลาบาร์ ขบวนเรืออย่างน้อยก็ประมาณ ๑๐ ลำบ่ายโฉมหน้าพุ่งตรงไปทางทิศตะวันออก เข้าสู่ทะเลอันดามันแต่เนื่องจากกลัวพวกชีเปลือยที่หมู่เกาะอันดามันซึ่งเป็นลัทธิหนึ่ง และเป็นเกาะที่เป็นดินแดนหรือขึ้นกับอินเดียจนกระทั่งบัดนี้ จึงบ่ายโฉมหน้าขบวนเรือออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อแวะที่หมู่เกาะอันดามันซึ่งเป็นลัทธิหนึ่ง และเป็นหมู่เกาะที่เป็นดินแดนของอินเดียเหมือนกันแต่ก็หนีพวกชีเปลือยไม่พ้น เมื่อทนพักอยู่ระยะเวลาหนึ่งก็ออกเดินทางบ่ายโฉมหน้าสู่ช่องแคบมะละกา ระหว่างแหลมมาลายูกับเกาะสุมาตรา เห็นภูมิประเทศตอนหนึ่งทางซ้ายมืออันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศมาเลเซียในปัจจุบัน น่าตั้งรกรากหลักฐานที่นั่น จึงเลี้ยวเข้าสู่แม่น้ำสายหนึ่ง ไม่ใหญ่แต่ลึกมาก ซึ่งมีชื่อต่อมาเรียกว่าแม่น้ำนั้นว่า “แม่น้ำสุไหงบาตูปาฮัต” อยู่ในรัฐเคดาห์ พวกพราหมณ์พวกแรกนี้จึงได้ตั้งแหล่งชุมชนของพวกตนขึ้น ซึ่งสิ่งสำคัญที่จะต้องมีก็คือ “โบสถ์พราหมณ์”
โบสถ์พราหมณ์แห่งนี้บัดนี้กลายเป็นเป็นโบราณสถานอันประเทศมาเลเซียถือว่ามีคุณค่าทางประวัติศาสตร์มากที่สุดเพราะเป็นเครื่องแสดงว่าดินแดนมาเลเซียเป็นดินแดนที่มนุษย์ที่เจริญแล้วเคยมาตั้งรกรากหลักฐานอยู่ก่อนไมใช่แต่พวกคนป่า ตัวดำ ผมหยิก (หมายถึงเนกรีตอส ซึ่งในเมืองนครศรีธรรมราชก็เคยมีพวกนี้มาตั้งแหล่งอาศัยอยู่ คือที่บ้านป่าโลง ใกล้วัดใหญ่ตลาดท่าวัง แต่ความจริงเป็นเผ่าเนกรีตอสที่มีสาขาออกมา เรียกว่า “ปะหล่อง” ต่อมาเรียกเพี้ยนเป็นชุมโลงไป) โบสถ์พราหมณ์ดังกล่าวนี้เป็นแหล่งทัศนศึกษาของประชาชนทั่วไปทั่วโลก พราหมณ์รุ่นแรกที่เข้ามาตั้งชุมชนขึ้นนี้ เนื่องจากสืบชาติพันธุ์วรรณะพราหมณ์ไม่ค่อยได้ ที่มีก็ค่อยๆ ล้มตายไปจนหมด และมีพราหมณ์คณะใหญ่ทยอยตามมา ก็มาขึ้นเรือที่ท่าเรือปะเหลียนในจังหวัดตรัง แล้วอพยพต่อมาจนเข้าเขตพัทลุง และทางตอนใต้ของเมืองนครศรีธรรมราชปัจจุบันก็มีด้วย ร่องรอยหลักฐานก็มีให้เห็นอยู่จนบัดนี้
สายที่ ๒ การจาริกของคณะพราหมณ์สายนี้มีบทบาทต่อประวัติศาสตร์ไทยมาก เพราะนักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่ว่าไทยหรือเทศ มักจะนึกออกถึงคำๆ หนึ่ง และชอบกันนัก คือคำว่า“ตะโกลา”
โดยมีความเป็นมาดังนี้ หลังจากพวกพราหมณ์สายที่ ๑ ตั้งหลักขึ้นครั้งแรกที่ริมแม่น้ำบาตูปาฮัตในรัฐเคดาห์ (ในมาเลเซียปัจจุบัน) ได้แล้ว ข่าวก็แพร่กระจายไปว่า ในดินแดนที่ไปพบนั้นช่างอุดมสมบูรณ์เหลือเกินจะใช้เป็นสถานที่สำคัญในการเผยแพร่ศาสนาพราหมณ์ให้กว้างขวางออกไปได้ง่าย เป็นดินแดนใหม่ที่ไม่มีผู้คนแออัดยัดเยียด อย่างในชมพูทวีป ข่าวนี้ทำให้มีพวกพราหมณ์สายที่ ๒ มีความกระตือรือร้น และพราหมณ์สายนี้มีความทะเยอทะยานอย่างแรงกล้าที่จะขยายศาสนาเข้าไปราชอาณาจักรกัมโพช ซึ่งตั้งอยู่บริเวณภาคกลางของประเทศไทยในปัจจุบันและไปทางตะวันออกจนจรดประเทศเขมรและญวนเดี๋ยวนี้ เป็นความมุ่งหมายอันใหญ่หลวงและแก่กล้ากว่าพราหมณ์พวกแรกมาก เพราะฉะนั้นจึงได้จัดขบวนเรือขนาดใหญ่หลายสิบลำมุ่งไปทางทิศตะวันออกโดยตามแผนที่ของปโตเลมี พราหมณ์พวกนี้ไม่กลัวพวกชีเปลือยที่หมู่เกาะอันดามัน ได้หยุดพักขบวนเรือที่นั้นตามสมควรแล้วก็บ่ายโฉมหน้าฝ่าคลื่นใหญ่ของทะเลอันดามันมุ่งไปทางทิศตะวันออกต่อไป
จนในที่สุดก็มองเห็นแผ่นดินใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า เห็นฝั่งทะเลแหว่งๆ มีเกาะแก่งสลับซับซ้อนเป็นธรรมชาติที่สวยงามมาก จึงได้เคลื่อนขบวนเรือเข้าไป เห็นเป็นทำเลที่เหมาะมาก จึงขึ้นเรือที่เกาะเล็กเกาะหนึ่ง (ความจริงก็ไม่เล็กนัก) เดี๋ยวนี้ก็คือเกาะพระทองอยู่ริมฝั่งทะเลของอำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา แล้วตั้งโบสถ์หรือปูชนียสถานขึ้นตามลัทธิประเพณีพราหมณ์ ตั้งเป็นชุมชนใหม่ขึ้นในหมู่บ้านที่เรียกว่า “ทุ่งตึก” ซึ่งต่อมาก็ได้รู้ว่าอยู่ในเขตปกครองของเมืองตะโกลา ความจริงพราหมณ์ทั้ง ๒ สายนี้เดิมก็มีพันธุ์และวรรณะมาจากชมพูทวีป